วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

โควิด ชีวิตเปลี่ยน(1)...โดย พระเล่าเรื่อง

    

ผู้เขียนกับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เขื่อนรัชชประภา(เชี่ยวหลาน)

         หลังจากการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในบั้นปลายของชีวิต ได้กลายเป็นแรงบันดาลใจให้ข้าพเจ้าอยากจะเขียนอะไรเรื่อยๆ เปื่อยๆ เล่าเรื่องของตัวเองแบบเบาสมอง ซึ่งอาจจะไม่มีสาระอะไรเลยหรืออาจมีสาระบ้าง ก็แล้วแต่มุมมองและจริตของท่านผู้อ่านแต่ละบุคคลก็แล้วกันนะครับ

         ก่อนจะชกก็ขอแนะนำตัวตนกันก่อนตามธรรมเนียม..

        ในที่นี้ ขอใช้ชื่อว่า"ข้าพเจ้า"

ข้าพเจ้าเป็นผู้ชาย(แท้ๆ พันเปอร์เซ็นต์)..มีอายุเกินครึ่งศตวรรษมาพอสมควร(ได้รับเงินเดือนมาหลายปีแล้วแหละ)..สถานภาพ เคยมีเมียเป็นของตัวเองอยู่หลายปี..ปัจจุบันโสดสนิท แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่อยากมีเมีย เพียงแต่ข้าพเจ้า เข้าใจเอาเองว่า ผู้หญิงเขาคงกลัวข้าพเจ้าจะตายบนอกเขา เขาจึงไม่อยากเสี่ยงเอาข้าพเจ้าทำปั๊ว ด้วยความเข้าใจอย่างนั้น ทำให้ข้าพเจ้าไม่ค่อยจะดิ้นรนขวนขวายทุ่มเทในการหาเมียสักเท่าไหร่ จึงต้องอยู่เป็นโสดมาจนบัดนี้ นับได้ร่วมๆ ก็สิบกว่าปีที่ผ่านมา

         สถานที่ ที่เรียกว่าบ้าน อยู่บนเกาะภูเก็ต อยู่กับลูกชาย ลูกสะใภ้และหลานสาวเล็กๆ สองคน ครอบครัวมีความอบอุ่นพอสมควร ไม่ถึงกับดีมาก แต่ก็ไม่ถึงกับเลวร้าย

ข้าพเจ้ามีอาชีพเป็นไกด์พูดภาษาต่างประเทศ(พูดอังกฤษได้ภาษาเดียว..แหะ..แหะ..) ลูกทัวร์ของข้าพเจ้าส่วนใหญ่จึงเป็นชาวต่างชาติ ลูกทัวร์พี่ไทยเราก็มีบ้างเป็นบางโอกาส

ข้าพเจ้าเป็นไกด์อิสระ คือหมายความว่าเป็นไกด์หรือมัคคุเทศก์ ที่ไม่สังกัดบริษัทใดๆ ใครจ้างก็ไป ถ้าได้ค่าตัวคุ้มกับค่าเหนื่อย

         เป็นไกด์มาหลายสิบปี ตั้งแต่หนุ่มๆ พูดได้เต็มปากว่ามีอาชีพเป็นไกด์หรือเป็นไกด์อาชีพ รับจ๊อบนำเที่ยวอยู่แถบภาคใต้ บนบกเข้าป่า ขึ้นเขา วัดวาอารามและลุยทะเล ขึ้นเกาะ แถบจังหวัดชุมพร ระนอง ภูเก็ต พังงา กระบี่ ตรัง พัทลุง นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี บางโอกาสก็เลยไปถึงสงขลา หาดใหญ่ ปาดังเบซาร์ ข้ามไปถึงเกาะลังกาวีของประเทศมาเลเซียก็เคยมี

         กระทั่ง ประมาณต้นปี พ.ศ.2563 ที่ทำให้ชีวิตเปลี่ยน ได้มีไวรัสชื่อ โควิด-19 ซึ่งเป็นไวรัสที่แพร่เชื้อจากคนสู่คน ติดต่อกันทางลมหายใจ ทางการสัมผัสถูกสารคัดหลั่งและจากวัตถุที่มันเกาะติดอยู่ 

มันเกิดจากอะไร? เกิดมาได้อย่างไร? เกิดจากที่ไหน? ในขณะนั้นยังหาข้อสรุปไม่ได้ แต่มันทำให้คนทั่วโลกเจ็บป่วยจำนวนมากอย่างรวดเร็วและตายไปจำนวนมากอย่างรวดเร็วเช่นกัน ส่วนคนที่ยังไม่ติดโรคแต่ตายทั้งเป็นอย่างรวดเร็ว เพราะตกงานก็มีมากกว่าพวกติดโรคเสียอีก เพราะธุรกิจทุกแขนง ทุกประเภท ต้องหยุดกิจการ หยุดกิจกรรม หยุดซื้อ หยุดขาย ล้มละลายระเนระนาด เจ๊งกันระนาว

         ประมาณปลายเดือนมีนาคม 2563 รัฐบาลสั่งปิดทุกๆ สถานที่ ที่มีผู้คนไปชุมนุมกันจำนวนมากๆ สั่งปิดโรงเรียน ปิดตลาดนัด ปิดร้านอาหาร ปิดผับ บาร์ อาบ อบ นวด+(ซ่อง) ร้านนวดแผนโบราณ ร้านตัดผม และ ฯลฯ

         สั่งห้ามจัดงานรื่นเริงทุกชนิด ทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นงานแต่ง งานบวช งานโกนผมจุกโกนผมไฟ งานประเพณีต่างๆ แม้กระทั่งงานสำคัญทางศาสนา ตามวัด ตามวา หยุดกิจกรรมทั้งหมด

สั่งปิดแหล่งท่องเที่ยวทุกที่ ไม่ว่าจะเป็นวัด เวียง วัง พิพิธภัณฑ์ โบราณสถาน ห้วย หนอง คลอง บึง เขื่อน น้ำตก ทะเล เกาะ แก่ง ชายหาด อุทยานแห่งชาติ สวนสาธารณะ และ ฯลฯ

ห้ามเดินทางข้ามประเทศ ข้ามจังหวัด ข้ามอำเภอ ทั้งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ ยกเว้นทางจิต!.

จากการสั่งปิดแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ส่งผลให้กิจกรรมหลายอย่างชะงักงันถึงหยุดนิ่ง นิ่งสนิทที่สุดคือการท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวไม่มี ไม่มา ไม่ไป กิจการบริษัททัวร์จึงจำเป็นต้องหยุดกิจการ ผลที่ตามมา บุคคลกลุ่มแรกที่เกี่ยวข้องกับการทำทัวร์คือไกด์หรือมัคคุเทศก์นำเที่ยว ตกงานแทบทั้งหมด 

โปรดทราบว่าไกด์อาชีพส่วนใหญ่ ไม่มีอาชีพสำรอง ทำอาชีพไกด์อย่างเดียว เมื่อไม่มีการท่องเที่ยว ลองนึกดูว่าวิถีชีวิตของพวกเขาเหล่านั้นจะเป็นอย่างไร?

         ข้าพเจ้าเป็นไกด์อาชีพคนหนึ่ง ในจำนวนไกด์อาชีพจำนวนหลายหมื่นคนในประเทศนี้ ที่รู้สึกสตั๊นและเข้าร่างไม่ถูกอยู่หลายวัน หลังจากไม่มีงานทัวร์

ในขณะเวลานั้น ข้าพเจ้าเป็นไกด์อยู่ที่เขื่อนเชี่ยวหลานหรือเขื่อนรัชประภา จังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวมากที่สุดของปี เรียกว่าเป็นไฮซีซั่น เป็นช่วงทำเงิน เพื่อเก็บส่วนที่เหลือจากการใช้จ่ายประจำ ไว้สำรองใช้จ่ายช่วงหน้าโลว์ซีซั่น ซึ่งมีระยะเวลาหลายเดือนก่อนจะถึงหน้าไฮซีซั่นอีกครั้ง

ท่าเรือเขื่อนเชี่ยวหลาน

ถึงแม้ว่าข้าพเจ้าค่อนข้างจะมีอายุติดไปทางแก่สักหน่อย (ความจริงก็ไม่หน่อย) แต่ข้าพเจ้ายังมีสุขภาพแข็งแรงและมีใจรักงานไกด์เป็นอย่างมาก จึงยังสามารถพาลูกทัวร์ฝรั่งครั้งล่ะ 20-30 คน ลุยน้ำ เดินป่า ขึ้นเขาได้อย่างสบายๆ และได้รับคำชมเชยบ่อยๆ นี่เป็นเครื่องการันตีให้บริษัททัวร์ยังจ้างข้าพเจ้าทำงานอย่างสม่ำเสมอตลอดมา ซึ่งทำให้ชีวิตของข้าพเจ้ามีชีวาพอสมควรตามอัตภาพ

หลังจากนั่งๆ นอนๆ อยู่ในห้องเช่าที่แถวๆ เขื่อนเชี่ยวหลานประมาณหนึ่งสัปดาห์ ก็รู้สึกว่าสถานการณ์มีแต่ย่ำแย่ลงเรื่อยๆ จึงตัดสินใจเดินทางกลับบ้านที่ภูเก็ต

ข้าพเจ้ากลับถึงภูเก็ตหนึ่งวันก่อนมีประกาศปิดเกาะอย่างเด็ดขาด โดยคนในห้ามออก คนนอกห้ามเข้า ทุกกรณี ทุกช่องทาง จนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง..ข้าพเจ้านึกถึงหนังซอมบี้บางเรื่องที่เคยดู.

จากที่เคยโลดแล่นอยู่กลางแจ้ง นั่งเรือ เดินป่า ขึ้นเขา พบปะกับผู้คนทุกวัน กลับมานั่งๆ นอนๆ อยู่ที่บ้านหลายวันเข้า เริ่มรู้สึกเครียด นึกคิด ทบทวนว่าจะไปทำอะไรได้บ้าง ในสภาวการณ์อย่างนี้

กระทั่ง ค่ำวันหนึ่ง ข้าพเจ้าโทรหาหลานชาย ซึ่งอยู่กันคนละตำบล เขาเป็นกัปตันเรือยอร์ท ซึ่งตกงานเหมือนกัน ถามเขาว่า มีอะไรให้ทำแก้เซ็งบ้าง?

เขาตอบกลับมาว่า ออกเรือไปตกปลา จะไปไหม?

ข้าพเจ้าตอบตกลงทันที

เขาบอกว่า พรุ่งนี้เช้าไปกัน.

เช้าวันรุ่งขึ้น ข้าพเจ้ารีบไปที่บ้านเขาแต่เช้าพวกเราออกเรือไปตกปลาตามความตั้งใจ ซึ่งก็ได้ปลากลับมาไม่คุ้มกับค่าเหยื่อ ค่าอุปกรณ์ต่างๆ แต่ก็ได้ความเพลิดเพลินกลับมา พอจะคลายเครียดลงไปได้บ้าง

         ข้าพเจ้าออกเรือไปตกปลาไม่กี่เที่ยว ทางจังหวัดประกาศล็อคดาวน์ ห้ามเดินทางไป-มา ระหว่างตำบลต่อตำบล เนื่องจากสถานการณ์การระบาดของไวรัส โควิด-19 รุนแรงขึ้น หมายความว่า ออกจากบ้านไปได้แค่ร้านสะดวกซื้อปากซอยเท่านั้น(ซึ่งสี่ทุ่มก็ปิดแล้ว) เกินจากนั้นไปไหนไม่ได้และไม่มีที่ให้ไปด้วย ทางเทศบาลเริ่มมีการแจกน้ำดื่ม ข้าวสาร อาหารแห้ง..ข้าพเจ้าจินตนาการถึงสงครามโลกครั้ง3

         ข้าพเจ้าต้องนอนถีบผนัง ดูเพดานบ้านให้หมดไปวันๆ สถานการณ์การเป็นอยู่ของชาวบ้านบนเกาะย่ำแย่ลงเรื่อยๆ ประชาชนระดับการใช้แรงงานเริ่มอดอยาก มีการฉกชิง วิ่งราวและปล้น เกิดขึ้น

ประชาชนจากต่างจังหวัดที่มารับจ้างทำงานและประกอบธุระกิจขนาดเล็กบนเกาะภูเก็ตเริ่มทะยอยอพยพกลับภูมิลำเนาเดิมวันละหลายพันคน หลังจากการล็อคดาวน์ผ่อนคลายลง ส่วนข้าพเจ้าก็หาลู่ทางออกจากเกาะสวาท หาดสวรรค์ หวังไปตายเอาดาบหน้าเช่นกัน

         หลังจาก ค.ว.ย. = คิด วิเคราะห์ แยกแยะอยู่สองวัน ในที่สุดก็ตัดสินใจอย่างเด็ดขาด เก็บเสื้อผ้ายัดใส่ถุงปุ๋ย..เอ้ย..ใส่กระเป๋า โยนขึ้นรถตู้คู่ชีพ ในเช้าวันถัดมา โดยไม่ได้บอกลูกหลานหรือใครทั้งสิ้น

ก่อนขับรถออกมา ข้าพเจ้าหันมองบ้านด้วยความรู้สึกเศร้าสร้อย บ้านที่เคยให้ความอบอุ่นมาหลายสิบปี  ..ลาก่อนบ้านที่รัก ถ้าไม่หมดลมหายใจเสียก่อน จะย้อนกลับมา..ก่อนจะค่อยๆเคลื่อนรถออกมาช้าๆ อย่างอาลัย อาวรณ์

บนถนนสายที่มุ่งหน้าออกจากเกาะภูเก็ต หนาแน่นไปด้วยรถนานาชนิด ส่วนใหญ่จะเป็นรถกะบะ ที่ด้านหลังกะบะบรรทุกเต็มไปด้วยสัมภาระเครื่องใช้ที่จำเป็นต่างๆ ภายในบ้าน บางคันก็มีรถมอเตอร์ไซต์บรรทุกไปด้วย รถทั้งหมด ทั้งหลายนั้น ต่างมุ่งหน้ากลับภูมิลำเนาเดิมของตัวเอง ไม่มีใครคิดจะอยู่บนเกาะสวรรค์แห่งนี้อีกต่อไป คงจะมีแต่เฉพาะคนภูเก็ตดั่งเดิมเท่านั้น ที่จะต้องอยู่กันต่อไป

จากความหนาแน่นของการจราจรบนท้องถนน กว่าจะไปถึงด่านตรวจท่าฉัตรไชย ข้าพเจ้าใช้เวลาขับรถเกือบ 2 ชั่วโมง ทั้งที่เวลาปกติจะใช้เวลาแค่ชั่วโมงเดียว และกว่าจะหลุดออกมาจากขั้นตอนการตรวจวัดอุณหภูมิร่างกาย การตอบคำถามต่อเจ้าหน้าที่ การกรอกเอกสารต่างๆ อีกประมาณเกือบๆชั่วโมง จึงจะได้ขับรถออกมาจากด่านมุ่งหน้าไปยังสะพานสารสิน(สะพานศรีสุนทร) เพื่อข้ามทะเลไปยังแผ่นดินใหญ่ จังหวัดพังงา

สะพานศรีสุนทร(สารสิน)

ข้าพเจ้าขับรถข้ามสะพานสารสิน(ความจริงคือสะพานศรีสุนทร) ด้วยความรู้สึกโหวงเหวง หันมองทะเลจรดขอบกับท้องฟ้าสีครามสดใส ปุยเมฆขาวนวลลอยฟ่องอยู่เหนือทิวขอบฟ้าหม่นสุดสายตา ฟองคลื่นสีขาววิ่งไล่กันเข้าหาชายหาดเป็นทิวแถว

ข้าพเจ้าละสายตาจากภาพอันงดงามนั้น กลับไปมองปลายสะพานด้านแผ่นดินใหญ่ด้วยสายตาพร่าพราย..

ไม่รู้เมื่อไหร่จะได้กลับมาเห็นภาพอันงดงามนี้อีก..ข้าพเจ้ารำพึง.

6 ความคิดเห็น:

  1. รออ่านตอนต่อไปค่ะ

    ตอบลบ
  2. เรื่องราวจริงตัวแสดงจริงไม่ใช้สแตนด์อิน..แต่น่าจะเริ่มเรื่องตั้งแต่40ปีก่อนนะ..คงมันกว่าเยอะและเขียนได้อีกเป็นปี

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. เอาเป็นเรื่องๆไปก่อนเถอะโยม...555

      ลบ

ห้ามใช้คำหยาบคาย,ห้ามแสดงความคิดเห็นเรื่องการเมือง,ห้ามตำหนิศาสนาอื่น